วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติ

นายสิทธิเดช ตั้นเซ็ง
49163303011
นิเทศศาสตร์โฆษณา
ราศี พิจิก

การออกแบบ

ดุลยภาพ (balance)
ดุลยภาพ หมายถึงการออกแบบจัดภาพให้มีน้ำหนักถ่วงเท่ากับทั้งสองข้าง โดยมีแกนกลาง (axis) ของภาพเป็นตำแหน่งในการแบ่งแยกภาพ ดุลยภาพหรือความสมดุลย์นี้รับรู้ได้ด้วยสายตาหรือการมองเห็น ลักษณะของดุลยภาพแบ่งออกได้ 3 แบบ คือ
1. ดุลยภาพที่เหมือนกันทั้งสองข้าง (Symmetrical balance) คือ ดุลยภาพที่มีส่วนประกอบของภาพเหมือนกันทั้งสองข้าง (ดูภาพ 6.6) ดุลยภาพแบบนี้ให้ความรู้สึกมั่นคง เที่ยงตรง สง่า เป็นทางการ นิยมใช้ออกแบบ โบสถ์ วิหาร สถานที่ราชการ และงานอื่น ๆ ที่ต้องการให้มีความรู้สึกดังกล่าว เช่น ออกแบบเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น



ภาพ 6.6 การออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่มีดุลยภาพเหมือนกันทั้งสองข้าง
(ทอม เชื้อวิวัฒน์. ม.ป.ป. : 95)

2. ดุลยภาพที่ไม่เหมือนกันทั้งสองข้าง (asymmetrical balance) คือ ดุลยภาพที่มีส่วนประกอบของภาพไม่เหมือนกันทั้งสองข้าง แต่มีน้ำหนักของภาพเท่ากันทั้งสองข้างดุลยภาพแบบนี้ให้อิสระในการออกแบบ และให้ความรู้สึกน่าสนใจ (ดูภาพ 6.7)



ภาพ 6.7 การออกแบบสลักไม้ มีดุลยภาพที่ไม่เหมือนกันทั้งสองข้าง
(Bevlin. 1980 : 204)

การสร้างดุลยภาพที่ไม่เหมือนกันทั้งสองข้าง มีข้อควรคำนึงถึงอยู่หลายประการ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
2.1 ดุลยภาพของรูปร่าง (balance of shape) หมายถึง ดุลยภาพที่เกิดจากรูปร่าง รูปร่างที่มีขนาดใหญ่จะดูหนักกว่ารูปร่างที่มีขนาดเล็กในกรณีสีเดียวกัน ดังนั้นเพื่อให้มีดุลยภาพ รูปร่างขนาดใหญ่ควรอยู่ใกล้ศูนย์กลางของภาพมากกว่ารูปร่างขนาดเล็ก (ดูภาพ 6.8)



ภาพ 6.8 ดุลยภาพของรูปร่างที่ต่างขนาดกัน
(ชะลูด นิ่มเสมอ. 2531 : 138)

2.2 ดุลยภาพของน้ำหนัก (balance of value) หมายถึง ดุลยภาพที่เกิดจากน้ำหนักอ่อนแก่ น้ำหนักที่ตัดกับพื้น จะดูหนักกว่าน้ำหนักที่กลืนไปกับพื้น ในกรณีของรูปร่างที่มีขนาดเท่ากัน ดังนั้นเพื่อให้มีดุลยภาพ ควรขยายขนาดของน้ำหนักที่กลืนไปกับพื้นให้ใหญ่ขึ้น ถ้าไม่ขยายขนาดก็ควรให้อยู่ห่างแกนกลางมากกว่าน้ำหนักที่ตัดกับพื้น (ดูภาพ 6.9)



ภาพ 6.9 ดุลยภาพของน้ำหนักที่ต่างขนาดกัน
(ชลูด นิ่มเสม. 2531 : 143)

2.3 ดุลยภาพของสี (balance of color) หมายถึง ดุลยภาพที่เกิดจากสีที่มีความจัด (intensity) เท่ากัน ขนาดเท่ากัน จะเป็นสีเดียวกันหรือต่างสี ย่อมมีดุลยภาพเหมือนกัน ส่วนสีที่ตัดกับพื้นจะดูใหญ่กว่าสีที่กลมกลืนไปกับพื้น ในกรณีที่มีขนาดเท่ากัน ดังนั้นควรขยายขนาดของสีที่กลืนกับพื้นให้ใหญ่ขึ้น หรือถ้าไม่ขยายขนาดก็ควรให้อยู่ห่างแกนกลางมากกว่าสีที่ตัดกับพื้น จึงจะเกิดดุลยภาพ (ชลูด นิ่มเสมอ. 2531 : 141 – 142)
2.4 ดุลยภาพของลักษณะผิว (balance of terture) หมายถึง ดุลยภาพที่เกิดจากลักษณะผิว ผิวในลักษณะต่าง ๆ ที่ใช้เป็นผิวของรูปร่างหรือรูปทรงที่น่าสนใจ จะมีน้ำหนักมากกว่าลักษณะผิวของรูปร่างหรือรูปทรงธรรมดา ๆ ในกรณีที่มีขนาดเท่ากัน (ดูภาพ 6.10) (Bevlin. 1980 : 187)



ภาพ 6.10 ภาชนะที่ใช้ดื่มน้ำ เป็นรูปสัตว์ในเทพนิยาย
ที่หัวและคอมีขนาดเล็กกว่ารูปปากแตรที่อยู่ข้างหลังเล็กน้อย
แต่ใช้ลักษณะผิวช่วยเน้นที่หัวและที่คอซึ่งเป็นบริเวณที่น่าสนใจทำให้มีดุลยภาพได้อย่างน่าทึ่ง
(Bevlin. 1980 : 187)

2.5 ดุลยภาพของจุดสนใจ (balance of interesting point) หมายถึง ดุลยภาพที่เกิดจากจุดสนใจ จุดสนใจแม้จะมีขนาดเล็กกว่า ก็สามารถถ่วงดุลย์กับรูปร่างหรือรูปทรงที่ดูธรรมดา ๆ แต่มีขนาดใหญ่กว่าได้ จุดที่น่าสนใจมีหลายลักษณะ ดังต่อไปนี้ (ชลูด นิ่มเสมอ. 2531 : 139 : 140)
2.5.1 เส้นที่มีรูปร่างหรือลวดลายที่แปลกกว่าเส้นธรรมดา ๆ เช่น เส้นที่เป็นลวดลายต่าง ๆ จะดูน่าสนใจกว่าเส้นตั้ง เส้นนอน
2.5.2 รูปร่างหรือรูปทรงที่ดูมีชีวิต เช่น รูปคน สัตว์ จะดูมีชีวิตกว่าดอกไม้หรือวัตถุที่อยู่นิ่ง
2.5.3 น้ำหนักตัดกัน เช่น น้ำหนักที่ตัดกันเป็นกลุ่ม จะดูน่าสนใจกว่าน้ำหนักกลมกลืนกันเป็นกลุ่ม
2.5.4 น้ำหนักอ่อนกว่าแต่รูปทรงน่าสนใจกว่า เช่น ตัวอักษร ก. ไก่มีน้ำหนักสีเทา จะดูน่าสนใจกว่ารูปสี่เหลี่ยมที่มีน้ำหนักสีดำ
2.5.5 สีสดใส ฉูดฉาด เช่น สีเขียนสด จะดูน่าสนใจกว่า สีเทา
2.5.6 สีร้อน เช่น กลุ่มของสีร้อน จะดูน่าสนใจกว่ากลุ่มของสีเย็น
2.5.7 สีมีความจัดน้อยกว่าแต่รูปทรงมีความหมายมากกว่า เช่น รูปคนฟ้อนรำสีน้ำตาลอ่อน จะดูน่าใจกว่ารูปสี่เหลี่ยมสีแดง
2.5.8 ลักษณะผิวที่หยาบขรุขระ เช่น ผิวของเปลือกทุเรียน จะดูน่าสนใจกว่าผิวของเปลือกสาเก
3. ดุลยภาพแบบรัศมี (radial balance) คือ ดุลยภาพที่มีส่วนประกอบของภาพกระจายออกจากศูนย์กลางเป็นรัศมี สามารถพบเห็นได้ตามธรรมชาติ เช่น โครงสร้างของดอกไม้ รัศมีของดวงอาทิตย์ รูปร่างของสัตว์ ตลอดจนสิ่งที่มนุษย์ออกแบบสร้างสรรค์ขึ้น เช่น หน้าของเพชรพลอยที่เจียระไนแล้ว รวมทั้งการออกแบบน้ำพุสำหรับตกต่างสถานที่ (ดูภาพ 6.11 – 6.13) (Bevlin. 1980 : 181 – 182)



ภาพ 6.11 การออกแบบให้มีดุลยภาพแบบรัศมี
(Bevlin. 1980 : 182)



ภาพ 6.12 รูปร่างของสัตว์ที่มีดุลยภาพแบบรัศมี
(Bevlin. 1980 : 182)



ภาพ 6.13 การออกแบบน้ำพุ ที่มีดุลยภาพแบบรัศมี
(Bevlin. 1980 : 184)

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


ประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์
สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ
- หนังสือสารคดี ตำรา แบบเรียน
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่แสดงเนื้อหาวิชาการในศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อสื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจความหมาย ด้วยความรู้ที่เป็นจริง จึงเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่เน้นความรู้อย่างถูกต้อง
- หนังสือบันเทิงคดี
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยใช้เรื่องราวสมมติ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับควา เพลิดเพลิน สนุกสนาน มักมีขนาดเล็ก เรียกว่า หนังสือฉบับกระเป๋า หรือ Pocket Book ได้
สื่อสิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร
- หนังสือพิมพ์ (Newspapers) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยนำเสนอเรื่องราว ข่าวสารภาพและ
ความคิดเห็น ในลักษณะของแผ่นพิมพ์ แผ่นใหญ่ ที่ใช้วิธีการพับรวมกัน ซึ่งสื่อสิ่งพิมพ์ชนิดนี้ ได้พิมพ์ออกเผยแพร่ทั้งลักษณะ หนังสือพิมพ์รายวัน, รายสัปดาห์ และรายเดือน
- วารสาร, นิตยสาร เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยนำเสนอสาระ ข่าว ความบันเทิง ที่มีรูปแบบการนำเสนอ ที่โดดเด่น สะดุดตา และสร้างความสนใจให้กับผู้อ่าน ทั้งนี้การผลิตนั้น มีการ กำหนดระยะเวลาการออกเผยแพร่ที่แน่นอน ทั้งลักษณะวารสาร, นิตยสารรายปักษ์ (15 วัน) และ รายเดือน
- จุลสาร เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นแบบไม่มุ่งหวังผลกำไร เป็นแบบให้เปล่าโดยให้ผู้อ่านได้ศึกษา
หาความรู้ มีกำหนดการออกเผยแพร่เป็นครั้ง ๆ หรือลำดับต่าง ๆ ในวาระพิเศษ
- สิ่งพิมพ์โฆษณา
- โบร์ชัวร์ (Brochure) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นสมุดเล่มเล็ก ๆ เย็บติดกันเป็นเล่ม
จำนวน 8 หน้าเป็น อย่างน้อย มีปกหน้าและปกหลัง ซึ่งในการแสดงเนื้อหาจะเกี่ยวกับโฆษณาสินค้า
- ใบปลิว (Leaflet, Handbill) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ใบเดียว ที่เน้นการประกาศหรือโฆษณา มักมีขนาด A4 เพื่อง่ายในการแจกจ่าย ลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็นข้อความที่ผู้อ่าน อ่านแล้วเข้าใจง่าย
- แผ่นพับ (Folder) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตโดยเน้นการนำเสนอเนื้อหา ซึ่งเนื้อหาที่นำเสนอนั้น
เป็นเนื้อหา ที่สรุปใจความสำคัญ ลักษณะมีการพับเป็นรูปเล่มต่าง ๆ
- ใบปิด (Poster) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์โฆษณา โดยใช้ปิดตามสถานที่ต่าง ๆ มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ซึ่งเน้นการนำเสนออย่างโดดเด่น ดึงดูดความสนใจ
สิ่งพิมพ์เพื่อการบรรจุภัณฑ์
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ใช้ในการห่อหุ้มผลิตภัณฑ์การค้าต่าง ๆ แยกเป็นสิ่งพิมพ์หลัก ได้แก่ สิ่งพิมพ์ที่ใช้ปิดรอบขวด หรือ กระป๋องผลิตภัณฑ์การค้า สิ่งพิมพ์รอง ได้แก่ สิ่งพิมพ์ที่เป็นกล่องบรรจุ หรือลัง
สิ่งพิมพ์มีค่า
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่เน้นการนำไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญต่าง ๆ ซึ่งเป็นกำหนดตามกฎหมาย เช่น ธนาณัติ, บัตรเครดิต, เช็คธนาคาร, ตั๋วแลกเงิน, หนังสือเดินทาง, โฉนด เป็นต้น
สิ่งพิมพ์ลักษณะพิเศษ
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์มีการผลิตขึ้นตามลักษณะพิเศษแล้วแต่การใช้งาน ได้แก่ นามบัตร, บัตรอวยพร, ปฎิทิน,บัตรเชิญ,ใบส่งของ,ใบเสร็จรับเงิน,สิ่งพิมพ์บนแก้ว ,สิ่งพิมพ์บนผ้า เป็นต้น
สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์
เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้แก่ Docum

บทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์
สื่อสิ่งพิมพ์มีบทบาท ดังต่อไปนี้
1. บทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์ในงานสื่อมวลชน สื่อสิ่งพิมพ์มีความสำคัญในด้านการนำเสนอข้อมูล
ข่าวสาร สาระ และความบันเทิง ซึ่งเมื่องานสื่อมวลชนต้องเผยแพร่ จึงต้องผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์, วารสาร, นิตยสาร เป็นต้น
2. บทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์ในสถานศึกษา สื่อสิ่งพิมพ์ถูกนำไปใช้ในสถานศึกษาโดยทั่วไป ซึ่งทำให้
ผู้เรียน ผู้สอนเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น เช่น หนังสือ ตำรา แบบเรียน แบบฝึกหัดสามารถพัฒนาได้เป็นเนื้อหาในระบบ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
3. บทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์ในงานด้านธุรกิจ สื่อสิ่งพิมพ์ที่ถูกนำไปใช้ในงานธุรกิจประเภทต่าง ๆ เช่น งานโฆษณา ได้แก่ การผลิต หัวจดหมาย/ซองจดหมาย, ใบเสร็จรับเงิน/ใบส่งของ, โฆษณาหน้าเดียว, นามบัตร เป็นต้น
4. บทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์ในงานธนาคารงานด้านการธนาคาร ซึ่งรวมถึง งานการเงิน
และงานที่เกี่ยวกับ หลักฐานทางกฎหมาย ได้นำสื่อสิ่งพิมพ์หลาย ๆ ประเภทมาใช้ในการดำเนินงาน เช่น ใบนำฝาก, ใบถอน, ธนบัตร, เช็คธนาคาร, ตั๋วแลกเงิน และหนังสือเดินทาง
5. บทบาทของสื่อสิ่งพิมพ์ในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีก สื่อสิ่งพิมพ์ที่ทางห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้า ปลีกใช้ในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ใบปิดโฆษณาต่าง ๆ ใบปลิว, แผ่นพับ, จุลสาร

การออกแบบและจัดหน้าสื่อสิ่งพิมพ์
หลักการสร้างเอกสารสิ่งพิมพ์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. การระบุค่าต่าง ๆ ของโปรแกรม ได้แก่ ค่ากำหนดแถบไม้บรรทัด (Ruler) ว่าเป็นนิ้ว, เซนติเมตรหรือ มิลลิเมตร และยังมีการกำหนดระยะกระโดด หรือที่เรียกว่า Tab ซึ่งควรปรับแต่งค่าเหล่านี้
ก่อนการพิมพ์ให้เหมาะกับความถนัดและเหมาะกับงานพิมพ์นั้น จะช่วยให้การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เกิดความสะดวก
รวดเร็ว และตรงกับความต้องการ
2. การกำหนดค่าของกระดาษ กระดาษแบ่งตามผิวได้ 2 ประเภทคือ
2.1 กระดาษไม่เคลือบผิว เป็นกระดาษที่ไม่มีการเคลือบของผิวกระดาษด้วยสารใด ๆ จะมีลักษณะ
เป็นผิวขุรขระ
2.2 กระดาษเคลือบผิว เป็นกระดาษที่มีการเคลือบผิวด้วยสารเคมีที่ผิวกระดาษ เพื่อให้เกิดความมัน และเรียบ
ซึ่งมาตรฐานสิ่งพิมพ์ขององค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน ISO (International Organization for Standardization) แบ่งมาตรฐานกระดาษไว้ 3 ชุด ชุด A และ B สำหรับงานพิมพ์ทั่วไป และชุด C สำหรับ
งานซองจดหมาย ซึ่งกระดาษจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า สัดส่วนความกว้างและความยาวอยู่ที่ 1 : 1.414 โดยประมาณ
3. การตั้งค่าเครื่องพิมพ์ ได้แก่ การตั้งระยะกั้นหน้า (Left Margin) การตั้งระยะกั้นหลัง
(Right Margin) การตั้งระยะขอบบน (Top Margin) หรือการตั้งระยะขอบล่าง (Bottom) เครื่องพิมพ์
แต่ละประเภท แตกต่างกัน หากไม่ได้กำหนดค่าเครื่องพิมพ์ งานพิมพ์ที่ได้อาจเสียระยะในการจัดพิมพ์ไว้ในเอกสาร

การออกแบบและจัดหน้าสื่อสิ่งพิมพ์
กระดาษชุด A เป็นกระดาษที่นิยมใช้ ซึ่งมีขนาดกระดาษต่าง ๆ ดังนี้


ขั้นตอนการออกแบบสิ่งพิมพ์
1. เก็บรวบรวมข้อมูลของสิ่งพิมพ์
2. สรุปลักษณะต่าง ๆ เช่น ประเภทสื่อสิ่งพิมพ์, ลักษณะกระดาษ
3. ออกแบบแนวคิดสื่อสิ่งพิมพ์ว่าต้องการให้ออกมาให้รูปแบบใด
4. ทดลองทำและแก้ไขในสิ่งที่ต้องการปรับปรุง
5. พิมพ์สื่อสิ่งพิมพ์
การใช้สีกับสื่อสิ่งพิมพ์

จุดประสงค์ของการเรียนรู้
1.เพื่อให้รู้ถึงความหมายของสีและการใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์
2.เพื่อให้รู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของการใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์
3.เพื่ีอให้รู้ถึงแนวทางในการเลือกใช้ในการสร้างสรรค์งานสื่อสิ่งพิมพ์
4.เพื่อให้รู้ถึงหลักการพิจารณาในการเลือกใช้สีในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์

สีและการใช้สี
ความเข้าใจในเรื่องของสีเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้งานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์มีความสดใสสวยงาม น่าสนใจ
และมีบทบาทในการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง เหมาะและมีคูณภาพอีกด้วย ดั้งนั้น การเลือกใช้สีควรจะได้ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อที่จะได้นำสีไปใช้ประกอบในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อให้งานนั้นสามารรถตอบสนองได้ตรงตามจุดประสงค์มากที่สุดซึ่งแต่ละสีให้ความสรู้สึกลารมณ์แก
่ผู้ดูต่างๆ กันออก ไป เช่น

สี ขาว ทำให้เกิดความรู้สึกบริสุทธิ์ สะอาด ใหม่ สดใส
สี แดง ทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ
สี ม่วง ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า ลึกลับ
สี น้ำเงิน ทำให้เกิดความรู้สึกสงบ เงียบขรึม
สี เหลือง ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นรื่นเริง
สี ชมพู ทำให้เกิดความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนโยน
สี ส้มแดง (แสด) ทำให้เกิดความรู้ร้อนแรง
สี ดำ หรือ ดำกับขาว ทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ใจ
สี เทาปนเขียว ทำให้เกิดความรู้สึกแก่ชรา
สี เขียวปนเหลือง ทำให้เกิดความรู้สึกหนุ่มหรือสาวขึ้น

นอกจากอารมณ์และความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดความชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับสีของ
คนแต่ต่างกันไปตามสภาพสังคม วัฒนธรรมของแต่ละสังคมอีกด้วยดังนั้นสีจึงเป็นเรื่องทีี่เกี่ยวข้อง
กับชีวิตประวันของคนอย่างมากมายโดยที่เราไม่ได้นึกถึง การได้ทำความเข้าใจว่าสีคืออะไร
ทฤษฎีของสี
อารมณ์และความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดความรับผิดชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับสังคมแต่ละคน
แต่ละคนแต่ละกลุ่มเป้าหมายมีส่วนที่ชักจูงให้เกิดความรู้สึกสนใจ และเข้าใจถึงคุณค่าของภาพ
เหล่านั้นสามารถตอบสนองแรงกระตุ่นได้ตามวัตถุประสงค์ซึ่งเป็น
เป้าหมายที่สำคัญของงานออกแบบมีทฤษฎีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องของสีที่จะเกิดให้ความกระจ่าง
ในเรื่องของความหมาย ได้เป็นอย่างดี และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายมีอยู่ 4 ทฤษฎีด้วยกัน คือ

1. ทฤษฎสีตามหลักการทางฟิสิก์ ในหลักการของทฤษฎี นี้จะอธิบายความหมายของสีที่ได้จากการมอง
เห็นโดยจะมีเรื่องของแสงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สีในทฤษฎีตามหลักการทางฟิสิกส์ หมายถึง ส่วนประกอบ
ของเปกตรัม ซึ่งแม่สีจะประกอบด้วยสี 2 สี ได้แก่ สีเขียว และสีนำ้เงินถ้าเอาแม่สีแสงทั้ง 3 มาผสมกันจะ
ทำให้ได้สีใหม่เกิดขึ้นอีก 3 สี ดังตารางที่1

ตารางที่ 1
สี สีที่ได้

สีแดง + สีน้ำเงิน
สีน้ำเงิน + สีแดง
สีเขียว + สีแดง
สีแดง + สีเขียว +สีน้ำเงิน
สีชมพู่
สีฟ้า
สีเหลือง
สีขวา

2. ทฤษฎีของสีตามหลักการทางเคมี ในหลักการของทฤษฎีนี้ จะอธิบ่ายความหมายของสีตามคุณสมบัติ
ทางเคมีสีที่ปรากฏ คือ คือเป็นส่วนผสมที่ย้อมขึ้นหรือเป็นเนื้อแท้ของสีซึ่ง กำหนดแม่สีไว้เป็น 3 สี คือ สีแดง
สีเหลือง และสีน้ำเงิน ถ้าเอาเนื้อสีทั้งสามารถผสมกันก็จะได้สีใหม่ขึ้นมาอีก 3 สีดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2
สีที่ผสม สีที่ได้
สีแดง + สีเหลือง
สีเหลือง + สีน้ำเงิน
สีน้ำเงิน + สีแดง สีส้ม
สีเขียว
สีม่วง

3.ทฤษฎีของสีตามหลักการของมันเซลล์ มันเซลล์เป็นศิลปินชาวอเมริกากัน ได้กำหนดแม่สีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ไว้เป็น 5 สีด้วย คือ สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน และสีม่วง ซึ่งเมื่อนำแม่สีทั้งหมด 5 สี มาทำการผสมกันระหว่างสีต่างๆ เข้าด้วยกันจะได้สีใหม่อีก 5 สี ดังตาราง ที่ 3

ตารางที่ 3
สีที่ผสม สีที่ได้
สีแดง + สีเหลือง
สีเขียว + สีน้ำเงิน
สีเขียว + สีน้ำเงิน
สีน้ำเงิน + สีม่วง
สีม่วง + สีแดง สีเหลืองแก่
สีเหลืองเขียว
สีเขียวน้ำเงิน
สีม่วงน้ำเงิน
สีม่วงแด


4. ทฤษฎีของสีตามหลักจิตวิทยา ทฤษฎีนี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นหรือสิ่งเร้า และตามาหลักและตามหลักการของทฤษฎีนี้ จะอธิบายถึงคุณสมบัติของสีตามสิ่งเร้าประเภทต่างๆ ที่มองเห็น แม่สีจะถูก
แบ่งออกเป็น 4 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเหลือง สีเขี้ยว สีน้ำเงิน และสีแดง ซึ่งถ้านำแม่สีทั้ง 4 มาผสมกันก็จะได้สีใหม่ 4 สีดังตารางที่4

ตารางที่ 4
สีที่ผสม สีที่ได้
สีเหลือง + สีเขียว
สีเขียว + สีน้ำเงิน
สีน้ำเงิน + สีแดง
สีแดง + สีเหลือง สีเขียวเหลือง
สีเขียวน้ำเงิน
สีม่วง
สีส้ม
จากทฤษฎีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะบอกถึงความเป็นมาเป็นไปของแต่ละสี แต่สำหรับในงานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์แล้ว สีที่ใช้จะเกี่ยวข้องกับสีในทฤษฎีของสีตามหลักการทางเคมีเพื่อนำมาใช้สร้างสรรค์งานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ให้
มีคุณค่าและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยมรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของสีเพิ่มเติมและแยกเป็นขั้นๆดังนี้

ขั้นที่ 1 (แม่สี)
เป็นสีที่มีความเข็มมากที่สุด สามารถนำไปผสมเพื่อให้เกิดสีต่าง ๆ ได้อีกมากมายหลายสี แม่สีมี 3 สี สี
แดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน

ขั้นที่ 2
เป็นสีที่เกิดจากการนำเอาแม่สีมาผสมกันที่ละคู่โดยใช้อัตราส่วนของแต่ละสีเทา ๆ กัน ซึ่งนำจะทำให้เกิดขึ้นมา
อีก 3 สี คือ สีส้ม สีเขียว และสีม่วงดังแสดงในตารางที่ 5

ตารางที่5
สีที่ผสม สีทีได้
สีแดง + สีเหลือง
สีเหลือ + สีน้ำเงิน
สีน้ำเงิน + สีแดง สีส้ม สีส้ม
สีเขียว
สีม่วง

สีขั้นที่ 3
เป็นสีทีได้จากการนำสีทีเกิดขึ้นใหม่ในขั้นที่ 2 มาทำการผสมกับแม่สีทั้งสามที่ละคู่โดยมีอัตราส่วนเท่าๆ กัน จะทำให้ได้สีใหม่อีก 6 สีด้วยกัน คือ สีม่วงแดง สีส้มแดง สีเหลืองส้ม สีเขียวเหลือง สีน้ำเงินเขียว และ
สีน้ำเนม่วง ดังตาราที่ 6

ตาราที่ 6
สีที่ผสม
สีที่ได้
สีแดง + สีม่วง
สีแดง + ส้ม
สีเหลือง + สีเขียว
สีเหลือง + สีเขียว
น้ำเงิน + เขียว
สีน้ำเน + ม่วง สีม่วงแดง สีม่วงแดง
สีส้มแดง
สีเหลืองส้ม
สีเขียวเหลือง
สีน้ำเงินเขียว
สีน้ำเงินม่วง
จากการนำสีมาสมกันในชั้นที 1 ขั้นที่2และขั้นที่ซึ่งในแต่ละขั้นจะเกหดสีใหม่ขึ้นมาบางทีเราก็เรียกว่า วงล้อสีธรรมชาติ

โทนของสี
โทนสีหรือวรรณะของสี หมายถึง กลุ่มสีที่ปรากฏให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน สังเกตได้จากวงล้อสีธรรมชาติจะมีอู่ 2 โทน หรือ 2 วรรณะ คือ

1. โทนสีร้อน ลักษณะของสีจะให้ความสดใส ร้อนแรง ฉูดฉาดหรือรื่นเริง สีในกลุ่มนี้ ได้แก่ สีเหลือง สีแกง สีส้ม และสีไกล้เคลีย

2. โทนสีเย็นความรู้สกที่ปรากฏในภาพจะแสดงความสงเยือกเย็นจนถึงซึมเศร้า ได้แก่ สีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียวและสีทีใกล้เคียง
จิตวิทยาในการเลือกใช้สี
สีถึงแม้จะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการนำไปใช้งาน แต่ลักษณะเฉพาะหรือคุณค่าเฉพาะของสีแต่ละสีย่อมจะเป็นตัวแทนของอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ในวัตถุที่มีสีปรากฏขึ้นในตัว เมื่อสายตาได้พบเห็นวัตถุที่แตกต่าง หลากหลายสีในวัตถุ ย่อมเกิดความรู้สึกต่าง ๆ ได้แก่ อ่อนหวาน อบอุ่นหรือหนาวเย็น นุ่มนวลหรือแข็งกระด้าง และตื่นเต้น เป็นต้น
สีแดง เป็นสีของไฟ ความปรารถนา ความรู้สึกทางอารมณ์ การปฏิบัติ ความอ่อนเยาว์ ดังนั้น จึงเป็นที่ชอบมากสำหรับเด็กเล็กๆ สีแดงจึงเป็นสีที่มีพลังอย่างมากมายสามารถบังสีอื่น ๆ ได้ จึงไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นสีของฉาดหลังหรือแบล็กกราวด์หรือสีพื้น เป็นต้น
สีเหลืองสีเขียว และสีม่วง ทุกระดับหรือเชดสีมีค่าที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสีที่มาผสม สีดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกในทางบวกการแสดงออกเต็มไปด้วยความรู้สึก ฉลาดและมั่นใจ หรือให้ความรู้ในทางลบและเก็บกดก็เป็นได้
ดังนั้นเมื่อนำสีแดงมาผสมกับสีขาวจะได้สีชมพูซึงเป็นการลดพลังของสีเหลือง ผลลัพธ์ คือสีน้ำตาล ซึ่งมีความเข็มที่แตกต่างกันออกกไป แต่ไม่ว่าสีน้ำตาลที่ได้ จะมีความเข็มมากน้อยเพียงใด สีประเภทนี้ก็จะให้ความรู้สึกเกี่ยวกับพื้นดิน ความแข็งแรง ความเป็นจริง ความอบอุ่น และความมั่นคง
ส่วนสีเหลือง เป็นสีที่มีพลัง ในด้านความสว่างเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเย็นมากกว่า สีเหลืองอมส้ม แต่ให้ความอบอุ่นกว่าสีเหลืองอมเขียว นอกจากนี้สีเหลืองยังเป็นสีที่สะท้อนถึงสติปัญญามากกว่าจิตใจ
สีน้ำเงิน เป็นสีที่ให้อารมณ์ความรู้สึกในลักษณะเก็บกด เปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวและช่างฝันถึงแม้ว่าจะสามารถทำให้ความจืดจ่างลงได้โดยการผสมสีขาวเข้าไปก็ตาม แต่สีน้ำเงินก็ยังคงให้ความประทับใจเกี่ยวกับความสะอาด บริสุทธิ์จึงมักใช้เป็นสีแทนสัญลักษณ์ทาบงด้านสุขอนามัย
สีม่วง เป็นสีที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกลึกลับ ความเก่าแก่โบราณการทำสมาธิ เวทย์คาถาและความรู้สึกใคร่ครวญ
สีทอง มีโทนสีคล้าย หรือใกลสีส้มและนับว่าเป็นสีที่อุ่นอีกสีหนึ่ง ในขณะสีนำ้เงินถูกจัดให้เป็นสีเย็น สีทองเป็นสี
ที่ให้อารมณความรู้สึกไปในทางบวก และสร้างสรรค์
สีเทา เป็นสีที่มีความเข็มจางแตกต่างกันหลายระดับ อาจจะคุ้นเคยกันดีจากการดูภาพขาวดำ การอ่านหนังสือทั่วไป
และการอ่านหนัวสือพิมพ์
สีดำ เป็นสีที่ใช้แทนสัญลักษณ์ของความมืน ความสว่าง โดยเฉพาะในการทำสื่อสิ่งพิมพ์สีดำจะมีค่าในทางบวก เนื่องจากเมื่อเราใช้สีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือตัวอักษรวางลงไป ก็จะทำให้สีเหล่านั้นเด่นเจิดจ้าสะดุตาขึ้น
สีขาว เป็นสีที่ไม่อยู่ในโทนสีอุ่นและสีเย็น ยกเว้น เมื่ออยู่กับสีเหลืองซึ่งสีขาวจะช่วยขับให้สีเหลืองเด่นสะดุดตา
ขึ้นทำให้สามารถวางภาพหรืออักษรสีใด ๆ ลงบนพื้นที่สีขาวได้ผลดีเช่นเดียวกับสีดำ

หลักการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์
หลักการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ (นภารัตน์ ชูเกิด, 2548)
หลักการออกแบบ หมายถึง การนำองค์ประกอบมูลฐานมาจัดหรือรวบรวมเข้าด้วยกันอย่างมีระบบในงานออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภาพ หรือพื้นที่ว่าง ๆ เพื่อให้การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ดังต่อไปนี้
1. หลักความสมดุล (balance) หมายถึง การกำหนดและการจัดวางองค์ประกอบมูลฐานให้มีน้ำหนัก และขนาดในสัดส่วนที่เท่าๆ กันทั้งสองข้าง งานออกแบบขาดความสมดุลจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงแต่ผู้พบเห็น
2. ความมีเอกภาพ (Unity) หมายถึง การจัดวางองค์ประกอบให้มีการรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยไม่แตกแยก กระจัดกระจาย งานออกแบบขาดเป็นเอกภาพจะทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกแตกแยกและไม่น่าสนใจ
3. การเน้นจุดแห่งความสนใจ (Emphasis) หมายถึง การสร้างจุดแห่งความสนใจให้เกิดขึ้นในงานออกแบบ โดยการกำหนดบริเวณใดบริเวณหนึ่งในภาพที่เหมาะสม ให้มีลักษณะพิเศษกว่าบริเวณอื่น เพื่อให้ดึงดูดความสนใจแก่ผู้อ่าน
4. ความมีสัดส่วน (Proportion) หมายถึง การจัดวางองค์ประกอบ โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ของขนาด รูปร่างขององค์ประกอบ เช่น ตัวอักษร รูปภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างด้านกว้างและด้านยาวของสิ่งพิมพ์
5. จังหวะ (Rhythm) ได้แก่ การวางองค์ประกอบมูลฐานทางศิลปะให้มีระยะตำแหน่งขององค์ประกอบเป็นช่วงๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกเคลื่อนไหวต่อเนื่องและความมีทิศทางแก่ผู้อ่าน
6. ความเรียบง่าย (Simplicity) การวางองค์ประกอบในการจัดภาพ ควรเน้นที่ความเรียบง่ายไม่รกรุงรัง เพราะแม้ว่านักออกแบบจะสามารถออกแบบให้ผลงานหรูหราแต่หากไม่สามารถสื่อความหมายได้ตามที่ต้องการก็สูญเปล่า ดังนั้น หลักความเรียบง่ายของการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ ก็เพื่อให้ง่ายต่อการรับรู้ของผู้อ่าน

ความหมายของสื่อสิ่งพิมพ์

คือ สื่อที่ใช้การพิมพ์เป็นหลักเพื่อติดต่อสื่อสาร ทำความเข้าใจกันด้วยภาษาเขียนโดยใช้วัสดุ กระดาษ หรือวัสดุอื่นใดที่พิมพ์ได้หลายสำเนาเช่น ผ้า แผ่นพลาสติก
สิ่งพิมพ์ ตามพระราชบัญญัติกี่พิมพ์ พ.ศ. 2484 บัญญัติว่า "สิ่งพิมพ์" หมายความว่า สมุดแผ่นกระดาษหรือวัสดุ ใด ๆ ที่พิมพ์ขึ้น รวมตลอดทั้งบทเพลง
ความหมายของการพิมพ์

คือ จำลองต้นฉบับอันหนึ่งซึ่งจะเป็นภาพหรือเป็นตัวหนังสือก็ตามออกเป็นจำนวนมาก ๆ หลายสำเนาเหมือน ๆ กัน บนวัตถุที่เป็นพื้นแบนหรือใกล้เคียงกับพื้นแบนด้วยการใช้เครื่องมือกล
ประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์
1. หนังสือพิมพ์ (newspaper)
2. นิตยสารและวารสาร ( magazine / journal)
3. หนังสือเล่ม (book)
4. สิ่งพิมพ์เฉพาะกิจ
ความหมายของสื่อสิ่งพิมพ์

ความหมายของ"สื่อ"
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายคำว่า "สื่อ" ว่า หากเป็นคำกริยา หมายถึง การทำการติดต่อให้ถึงกัน ชักนำให้รู้จักกัน ในกรณีที่เป็นคำนาม หมายถึง ผู้หรือสิ่งของที่ทำให้การติดต่อให้ถึงกันหรือชักนำให้รู้จักกัน

ความหมายของสื่อสิ่งพิมพ์
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 ได้ให้ความหมายไว้ว่า สิ่งพิมพ์ หมายถึง สมุด แผ่นกระดาษ หรือวัตถุใด ๆ ที่พิมพ์ขึ้น รวมตลอดทั้งบทเพลง แผนที่ แผนผัง แผนภาพ ภาพระบายสี ใบประกาศ แผ่นเสียง หรือสิ่งอื่นใดอันมีลักษณะเช่นเดียวกัน

เมือง

เมืองหลวงคือแหล่งรวมของความเจริญสิ่งต่างๆล้วนใหลลงมาอยูที่กรุงเทพ เมืองที่คนจากต่างที่อยากจะเขามาเพื่อหาเงินทอง ความหวัง แต่จะมีกี่คนที่ใด้ตามที่ตัวเองหวัง แท้จริงเมืองหลวงคือสิ่งใดจะเป็นเมืองที่ให้ทุกอย่างตามที่ต้องการ หรืออีกด้านสามารถทำลายชีวิตคนทั้งชีวิตได้เลยทีเดียว
หากเพียงมองแต่ตาอาจพบเห็นความสวยงามสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รถไฟลอยฟ้า รถยนต์คันหรูๆวิ่งกันขวักใขว่
ห้างสรรพสินค้าใหญ่โต มองแต่ตาอาจเห็นว่ากรุงเทพงดงามยิ่งนัก
แต่ถ้ามองลงไปลึกๆแล้วอาจจะเห็นความจริงที่ซ้อนอยู่ ว่ากรุงเทพไม่ได้สวยงามอย่างที่ตาเห็น จะพบปัญหาต่างๆที่แฟงตัวอยู่ในทุกๆที่ เปรียบไปก็คงเหมือนกับสตรีที่สวยงามแต่ผ่านความบอบชำ้มามากมาย ต้องแต่งหน้าหนาๆเพื่อปกปิดริ้วรอยแห่งกาลเวลา
ใช้ตามองงามเพียงภายนอก มองด้วยใจจะเห็นความจริงภายใน
งดงามเทรื่อมโทรมล้วนอยู่ด้วยกัน

ความกลมกลืน

ความกลมกลืนเป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้รูปแบบมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตลอดจนเนื้อหาสาระมีเพียงหนึ่งเดียว การออกแบบให้เกิดความกลมกลืนให้เหมาะสมจะทำให้การออกแบบนั้นออกมาสวยงาม

ความกลมกลืนในการออกแบบมีดังนี้
1.1 ความกลมกลืนของเส้นและรูปร่าง

ความกลมกลืนของเส้น เส้นมีลักษณะแตกต่างกัน แต่มีทิศทางเดียวกัน


ความกลมกลืนของรูปร่าง รูปร่างที่มีลักษณะและขนาดคล้ายคลึงกัน


1.2 ความกลมกลืนของขนาดและทิศทาง
ขนาดใหญ่จะให้ความรู้สึกว่าใกล้ ขนาดเล็กจะให้ความรู้สึกว่าไกลออกไปขนาดใกล้เคียงกันให้ความรู้สึกกลมกลืนกัน การออกแบบโดยคำนึงถึงทิศทางจะช่วยให้รู้สึกเคลื่อนไหวได้ด้วย


1.3 ความกลมกลืนกันของสีและบริเวณว่าง
สีและบริเวณว่างมีความเกี่ยวข้องกับงานออกแบบมาก ทั้งนี้สียังให้ความรู้สึกระยะใกล้ไกลอีกด้วย ถ้าสีเข้มจะให้ความรู้สึกใกล้ สีอ่อนจะให้ความรู้สึกไกล บริเวณว่างในงานออกแบบจะให้ความรู้สึกสบาย แต่บริเวณแคบจะให้ความรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ ดังนั้นความกลมกลืนกันของสีและบริเวณว่างจึงมีความสัมพันธ์กันในการออกแบบ


1.4 ความกลมกลืนกันของความคิดและจุดมุ่งหมาย
แนวความคิดและความมุ่งหมายของผู้ออกแบบที่ต้องการจะแสดง หรือ สื่อความหมายก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ในการสร้างความกลมกลืนในการออกแบบ ความกลมกลืนกันของความคิดและจุดมุ่งหมายของการออกแบบ เช่น กองทัพมดกำลังขนอาหารไปในทิศทางเดียวกัน , ภาพของกองเชียร์ที่กำลังเชียร์กีฬาอยู่ข้างสนาม เป็นต้น การสร้างความกลมกลืนจะแสดงความสามัคคีและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


1.5 ความกลมกลืนกันของลักษณะผิวและจังหวะ
ลักษณะผิวหยาบจะให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรง มีน้ำหนัก ส่วนลักษณะผิวละเอียดจะให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มและเบา สำหรับจังหวะนั้นในการออกแบบเป็นการสร้างสรรค์งานในรูปของการเคลื่อนไหว การซ้ำทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อ การออกแบบให้ลื่นไหลและการออกแบบต่อเนื่องแบบเพิ่มขึ้นหรือลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าลักษณะผิวและจังหวะมีความสัมพันธ์กันในการออกแบบให้กลมกลืน

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

กราฟฟิกดีไซด?


กราฟิกดีไซน์ คือการออกแบบรูปภาพสัญลักษณ์ที่มองเห็นด้วยตา (เป็นทัศนศิลป์อย่างหนึ่ง) และมีหน้าที่สื่อความหมายจากสัญลักษณ์สู่ความหมาย คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่ากราฟิกดีไซน์เป็นงานที่ทำด้วยคอมพิวเตอร์หรือเป็นการสร้างแอนิเมชันสามมิติ ซึ่งในความเป็นจริง คอมพิวเตอร์เป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ช่วยในการสร้างงานกราฟิกดีไซน์ได้ เช่นเดียวกับ ดินสอ ปากกา พู่กัน

กราฟิกดีไซน์ เป็นการทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ graphic design คำว่า graphic มีคำในภาษาไทยที่ใช้แทนได้คือ เรขศิลป์, เลขนศิลป์ หรือ เรขภาพ ส่วน design แปลว่า การออกแบบ เมื่อรวมกันแล้ว กราฟิกดีไซน์จึงมีหมายความว่า การออกแบบเรขศิลป์ หรือ การออกแบบเลขนศิลป์